ร้อยตำรวจโทเชาวรินธร์ ลัทธศักย์ศิริ อดีตที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา) อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบสัดส่วน พรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และอดีตสมาชิกวุฒิสภา จังหวัดราชบุรี
ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักย์ศิริ เกิดเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2488 ที่จังหวัดราชบุรี ร.ต.ท.เชาวรินธร์จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขานิติศาสตร์บัณฑิต จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จบปริญญาโท สาขาพัฒนบริหารศาสตรมหาบัณฑิต จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และกำลังศึกษาระดับปริญญาเอก สาขารัฐประศาสนศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี
ร.ต.ท.เชาวรินธร์ แต่เดิมใช้ชื่อว่า "เชาวริน" ต่อมาได้เปลี่ยนเป็น "เชาวรินทร์" และ "เชาวรินธร์" ตามลำดับ
ร.ต.ท.เชาวรินธร์ก่อนจะมาเล่นการเมืองนั้น เดิมเคยเป็นนายตำรวจที่ติดตามรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ในสมัยรัฐบาลหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ในเหตุการณ์ 6 ตุลา ร.ต.ท.เชาวรินธร์เป็นผู้ที่อยู่เคียงข้างนายชวน หลีกภัย ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่ทำเนียบรัฐบาล เป็นผู้ที่บอกให้นายชวนหลบหนีไปจากการตามล่าของผู้ชุมนุม แต่นายชวนไม่หนี
ร.ต.ท.เชาวรินธร์มีฉายาว่า "สากกระเบือ" อันเนื่องมาจากครั้งหนึ่งเคยนำสากกระเบือเข้าสภาฯ และ "โกโบริน" อันเนื่องมาจากความเชื่อส่วนตัวที่เชื่อว่า ภายในถ้ำลิเจีย อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี มีขุมทรัพย์โดยเฉพาะทองคำจำนวนมากที่ทหารญี่ปุ่นนำมาซ่อนไว้ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงแม้เจ้าตัวจะพยายามขุดค้นหาและออกข่าวหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่เจอ จนเคยเป็นข่าวโด่งดังมาแล้วครั้งหนึ่งถึงเรื่องพันธบัตร กระนั้น ร.ต.ท.เชาวรินธร์ก็ยังยืนยันว่า เป็นความเชื่อส่วนตัว
ร.ต.ท.เชาวรินธร์เป็นนักการเมืองที่มีประสบการณ์ทางการเมืองมาก เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายสมัยนับตั้งแต่ พ.ศ. 2522 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์, พ.ศ. 2526 สังกัดพรรคชาติไทยและอยู่กับพรรคชาติไทยมาตลอดจนถึง พ.ศ. 2544, พ.ศ. 2529, พ.ศ. 2535 และ พ.ศ. 2538 โดยใน พ.ศ. 2538 ร.ต.ท.เชาวรินธร์ได้รับการแต่งตั้งให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการด้วย หลังจากนั้น ร.ต.ท.เชาวรินธร์ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในจังหวัดราชบุรี และได้รับเลือก หลังจากนั้นมีการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2549
ร.ต.ท.เชาวรินธร์จึงลงรับเลือกตั้งในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้ง ในระบบสัดส่วน พรรคพลังประชาชน ก่อนที่พรรคจะถูกยุบและย้ายมาสังกัดพรรคเพื่อไทย โดย ร.ต.ท.เชาวรินธร์เป็นหนึ่งในผู้ที่ร่วมการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี อีกด้วย ซึ่งการอภิปรายในครั้งนั้น ร.ต.ท.เชาวรินธร์ได้นำวีซีดีภาพการฆ่าตัดศีรษะทหารไทยในเหตุการณ์ความไม่สงบในชายแดนภาคใต้มาฉายระหว่างการอภิปรายด้วย ซึ่งหลายฝ่ายได้ออกมาประณามในกรณีนี้
ร.ต.ท.เชาวรินธร์เคยไม่ได้รับการเลือกตั้งครั้งหนึ่งจากการเลือกตั้งเมื่อ พ.ศ. 2539 โดยแพ้ให้กับวิจัย วัฒนาประสิทธิ์ จากพรรคประชาธิปัตย์ และในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2554 ซึ่งลงสมัครในระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 100 แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี(พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา)
นอกจากนี้แล้ว ร.ต.ท.เชาวรินธร์ยังเป็นผู้ที่ชื่นชอบการแต่งเครื่องแบบข้าราชการ โดยเฉพาะเครื่องแบบที่ต้องติดตราประดับหรือแพรแถบต่างๆรวมถึงการพูดคำหยาบคายในรัฐสภา
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 12 มกราคม 2558 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตรวจคนเข้าเมือง สุวรรณภูมิ ร่วมกับฝ่ายสืบสวน สน.ดุสิต จับกุมตัว ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักย์ศิริ อยู่บ้านเลขที่ 297/2-3-4 ถนนเพชรเกษม ต.หน้าเมือง อ.เมืองราชบุรี จ.ราชบุรี อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา เลขที่ 10/2558 ลงวันที่ 6 ม.ค.58 ข้อหา "ฉ้อโกงและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน" โดยสามารถจับกุมได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิขณะร.ต.ท.เชาวรินธร์กำลังเดินทางไปต่างประเทศก่อนนำตัวมาสอบสวนที่สน.ดุสิต ผู้เสียหายกล่าวหาว่าร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักย์ศิริ เปลี่ยนแปลงข้อมูลเลขที่บัญชีในระบบคอมพิวเตอร์ส่งผลให้เงิน 11 ล้านบาทของฝ่ายผู้เสียหายตกเป็นของร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักย์ศิริ และเขาได้ยอมรับว่าใช้เงินไปหมดแล้วและไม่คืนเงินให้โดยอ้างว่าไม่ทราบว่าใครโอนมาแม้ว่าเขาจะแสดงหลักฐานการโอนเงินอย่างชัดเจนแล้วก็ตามวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2558ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษจำคุก 1 ปี และไม่รอลงอาญา ร.ต.ท.เชาวรินทร์ ลัทธศักดิ์ศิริ ฐานฉ้อโกงประชาชนและอนุญาตให้ประกันตัววงเงินสองแสนบาทในตอนบ่ายวันเดียวกัน หลังจากพ้นโทษจำคุกเขาแสดงความต้องการถอดยศ ร้อยตำตรวจโท ของตนเองเขากล่าวหา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชาว่าละเมิดพระราชอำนาจในการถอดยศ ทักษิณ ชินวัตร